Skip to content

TOPPIC TIME

เวลาของเรื่องเล่า

  • TOPPIC TIME
  • NEWS
    • POLITICS
    • EDU-ART
    • LOCAL
    • OVERSEA
    • SPORT
  • ECONOMY
  • ENTERTAIN
    • CELEB
    • MUSIC
    • MOVIE
    • FOREIGN
  • LIFESTYLE
    • BEAUTY
    • FASHION
    • HEALTH
    • FOOD
    • TRAVEL
    • HOME
    • IT
    • AUTOMOTIVE
  • SECRET
    • HORO
    • MYSTIC
    • LOTTO
  • FOOD
  • TRAVEL
  • HEALTH
  • SPORT
  • SUSTAIN
    • PEOPLE
    • CAREER
    • CORPORATE
    • ENVIROMENT
  • CLIP

เหตุจำคุก ‘ลุงพล’ 20 ปี คำพิพากษา ‘คดีน้องชมพู่’ ฉบับเต็ม ทำไม ‘ป้าแต๋น’ รอด!

เหตุจำคุก 'ลุงพล' 20 ปี คำพิพากษา 'คดีน้องชมพู่' ฉบับเต็ม ทำไม 'ป้าแต๋น' รอด!

เหตุจำคุก 'ลุงพล' 20 ปี คำพิพากษา 'คดีน้องชมพู่' ฉบับเต็ม ทำไม 'ป้าแต๋น' รอด!

  • Facebook iconFacebook
  • Twitter iconTwitter
  • LINE iconLine

ศาลจังหวัดมุกดาหาร อ่านพิพากษาจำคุก “ลุงพล” 20 ปี คดี “น้องชมพู่” โดน 2 ข้อหา ส่วน “ป้าแต๋น” รอด ศาลยกฟ้อง กับคำพิพากษาฉบับเต็ม เหตุที่จำคุกลุงพล 2 กรรม…

หลังจากที่ ลุงพล ป้าแต๋น และพ่อแม่น้องชมพู่ เดินทางไปฟังคำพิพากษา คดีน้องชมพู่ ที่ศาลจังหวัดมุกดาหารในช่วงเช้า ล่าสุดเมื่อเวลา 12.35 น. ศาลพิพากษาให้จำคุก จำเลยที่ 1 ลุงพล 20 ปี ใน 2 ข้อหา คือ 1. กระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และ 2. พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาปราศจากเหตุอันควร กรรมละ 10 ปี รวมเป็น 20 ปี

ขณะที่ จำเลยที่ 2 ป้าแต๋น ศาลยกฟ้อง และให้จำเลยที่ 1 ชำระสินไหมทดแทนทางแพ่ง ให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง

เหตุจำคุก 'ลุงพล' 20 ปี คำพิพากษา 'คดีน้องชมพู่' ฉบับเต็ม ทำไม 'ป้าแต๋น' รอด!
เหตุจำคุก ‘ลุงพล’ 20 ปี คำพิพากษา ‘คดีน้องชมพู่’ ฉบับเต็ม ทำไม ‘ป้าแต๋น’ รอด!

ทั้งนี้ คำพิพากษา ศาลจังหวัดมุกดาหาร ฉบับเต็ม ระบุว่า…

“วันนี้ (๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๖) เวลา  ๑๐.๐๐ นาฬิกา ศาลจังหวัดมุกดาหาร อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ ๑๐๑๙/๒๕๖๔ ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหาร โจทก์ นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา โจทก์ร่วมที่ ๑ นายอนามัย วงศ์ศรีซา โจทก์ร่วมที่ ๒ กับ นายไซย์พล หรือ พล วิภา จำเลยที่ ๑ และนางสาวสมพรหรือแต๋น หลาบโพธิ์ จำเลยที่ ๒ โดยมีโจทก์ร่วมทั้งสองยื่นคำร้องขอเรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ จำเลยที่ ๑ พรากเด็กหญิงอรวรรณ หรือชมพู่ วงศ์ศรีชา อายุ ๓ ปีเศษ ซึ่งเป็นเต็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากโจทก์ร่วมทั้งสองมารตาและบิดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร เมื่อระหว่างวันที่ ๑๑ ถึง ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๓ จำเลยที่ ๑ โตยเจตนาฆ่า นำเต็กหญิงอรวรรณซึ่งเป็นเต็กอายุยังไม่เกินเก้าปีไปทอดทิ้ง ณ เขาภูเหล็กไฟ เพียงลำพังโดยไม่มีอาหารและน้ำดื่ม เพื่อให้เด็กหญิงอรวรรณพ้นไปเสียจากตน

โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กหญิงอรวรรณถึงแก่ความตาย และเมื่อระหว่างวันที่ ๑๓ ถึง ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ภายหลังผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จ จำเลยทั้งสองร่วมกันเคลื่อนย้ายศพผู้ตาย แล้วถอดเสื้อผ้าและกางเกงออก เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ที่พบศพเข้าใจว่า ผู้ตายถูกล่วงละเมิดทางเพศและถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพผู้ตายหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า บริเวณที่พบศพเด็กหญิงอรรรณ ผู้ตายอยู่บนเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากจุตที่มีคนพบเห็นผู้ตายครั้งสุดท้ายประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร และเป็นทางลาดชัน ประกอบกับบริเวณดังกล่าว มีการตรวจพบเส้นผมผู้ตายหลายเส้น ที่มีลักษณะถูกตัดด้วยของแข็งมีคม จึงเชื่อว่า ผู้ตายซึ่งมีอายุเพียง ๓ ปีเศษ ไม่สามารถเดินขึ้นไปถึงบริเวณที่พบศพ และใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมของตนเองได้ แต่ต้องมีคนร้ายพาผู้ตายไป

ปัญหาต่อมาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นคนร้ายหรือไม่ เห็นว่า ประการแรก ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา ผู้ตายเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านพักและมีเด็กหญิง ก. พี่สาวผู้ตายนอนเล่นโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ใกล้เคียง กระทั่งเวลาประมาณ ๔.๕๐ นาฬิกา เด็กหญิง ก. มองหาผู้ตายไม่เห็น จึงออกตามหา ดังนั้น ผู้ตายต้องหายตัวไป ก่อนช่วงเวลาดังกล่าว โดยเด็กหญิง ก. เบิกความว่า ไม่ใต้ยินเสียงผู้ตายร้องแต่อย่างใด เชื่อว่า คนร้ายที่พาผู้ตายไป ต้องเป็นญาติหรือบุคคลใกล้ชิด ในหมู่บ้านที่ผู้ตายรู้จักดี เนื่องจากผู้ตายจะร้องไห้หากถูกคนแปลกหน้าอุ้ม เจ้าพนักงานตำรวจจึงสืบสวนกลุ่มบุคคลดังกล่าว ๑๔ คน แบ่งเป็นญาติ ๑๒ คน และบุคคลใกล้ชิด ๒ คน พบว่า ๑๓ คน มีหลักฐานยืนยันที่อยู่หรือตําแหน่งอ้างอิงจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ชัดเจน ยกเว้นจําเลยที่ 1 ซึ่งไม่สามารถยืนยันฐานที่อยู่ได้แน่ชัดในเวลาที่ผู้ตายหายตัวไป

ประการที่สอง จําเลยที่ ๑ ให้การเป็นข้อพิรุธหลายอย่าง อาทิ จําเลยที่ ๑ ให้การกับเจ้าพนักงานตํารวจชุดสืบสวนว่า วันเกิดเหตุ จําเลยที่ ๑ มีนัดไปรับพระ ส. ที่วัดถ้ำภูผาแอก ขณะเดินทางไปวัด จําเลยที่ ๒ โทรศัพท์แจ้งจําเลยที่ ๑ ว่า ผู้ตายหายตัวไป แต่ครอบครัวของจําเลยทั้งสองมีโทรศัพท์เคลื่อนที่เพียงเครื่องเดียวอยู่กับจําเลยที่ ๒ จึงเป็นไปไม่ได้ ที่จําเลยที่ ๒ จะโทรศัพท์แจ้งเรื่องแก่จําเลยที่ ๑ อีกทั้งพระ บ. ซึ่งจําวัดอยู่ที่วัดถ้ำภูผาแอกเช่นกัน ยืนยันว่า วันดังกล่าว เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ นาฬิกา จําเลยที่ ๑ เดินทางไปถึงวัดและพูดกับพระ บ. ว่า หลานหายเกือบไม่ได้ไปส่งพระ ทั้งที่ ในขณะนั้น จําเลยที่ ๑ ซึ่งไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ติดตัวต้องยังไม่ทราบเหตุว่า ผู้ตายหายตัวไป

ประการที่สาม พยานโจทก์ปากนาย ว. และนาง พ. ให้การในชั้นสอบสวนว่า พยานเห็นจําเลยที่ ๑ อยู่บริเวณสวนยางพารา ซึ่งเป็นทางเดินที่สามารถเข้าถึงจุดที่ผู้ตายหายตัวไป ในช่วงเวลาที่คนร้ายลงมือกระทําความผิด โดยขณะที่มีการสอบสวนเรื่องนี้ จําเลยที่ ๑ พยายามไปพูดคุยกับนาย ว. ให้ นาย ว. บอกเจ้าพนักงานตํารวจว่า นาย ว. พบจําเลยที่ ๑ ในช่วงเวลา ๗.๐๐ นาฬิกา ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ เพื่อไม่ให้เจ้าพนักงานตํารวจสงสัยจําเลยที่ ๑ จึงเป็นข้อพิรุธว่า หากจําเลยที่ ๑ ไม่ได้กระทําความผิด เหตุใดต้องพูดจาในลักษณะดังกล่าว กับพยานที่ให้การต่อเจ้าพนักงานตํารวจ ตามข้อเท็จจริงที่ตนรู้เห็น แม้ต่อมาในขณะสืบพยาน นาง พ. จะเบิกความว่า ตนไม่ได้เห็นจําเลยที่ ๑ บริเวณสวนยางพารา แต่ก็เป็นการกลับคําภายหลังเกิดเหตุกว่า ๒ ปี ซึ่งอาจทําเพื่อช่วยเหลือจําเลยที่ ๑ คําให้การในชั้นสอบสวนของนาง พ. จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งกว่า

ประการสุดท้าย ภายหลังเจ้าพนักงานตํารวจตั้งข้อสงสัยว่า จําเลยที่ ๑ เป็นคนร้าย จึงมีการเข้าตรวจค้นรถยนต์ จําเลยที่ ๑ พบเส้นผม ๑๖ เส้น และวัตถุพยานอื่น โดยผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ ประกอบกับคําเบิกความของพยานผู้เชี่ยวชาญ ปรากฏว่า เส้นผม ๑ เส้น ที่ตกอยู่ในรถยนต์จําเลยที่ ๑ มีองศาของรอยตัด หน้าตัด และพื้นผิวด้านข้าง ตรงกันกับเส้นผมผู้ตาย ๒ เส้น ซึ่งตรวจเก็บได้จากบริเวณที่พบศพผู้ตาย เส้นผมทั้ง ๓ เส้น ดังกล่าว จึงถูกตัดในคราวเดียวกัน ด้วยวัตถุของแข็งมีคมชนิดเดียวกัน เชื่อว่า จําเลยที่ ๑ เป็นผู้ใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมผู้ตาย แต่ด้วยเหตุที่เส้นผม มีขนาดเล็กมาก จําเลยที่ ๑ จึงไม่สังเกตว่า มีเส้นผมผู้ตายเส้นหนึ่งตกอยู่ในรถยนต์ของตน

ทั้งนี้ การสืบสวนสอบสวนของเจ้าพนักงานตํารวจในคดีนี้ ไม่ได้มุ่งเป้าไปยังจําเลยที่ ๑ มาแต่แรก หากเกิดจากการรวบรวมพยานหลักฐานและตั้งข้อสันนิษฐานอย่างเป็นลําดับขั้นตอนดังวินิจฉัยไว้ข้างต้น โดยไม่ปรากฏว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องคนใด มีสาเหตุโกรธเคือง หรือมูลเหตุชักจูงใจในการใส่ร้ายจําเลยที่ ๑ จึงเชื่อว่า จําเลยที่ ๑ เป็นคนร้ายที่พาผู้ตายขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ

ปัญหาต่อมาต้องวินิจฉัยว่า ขณะพาผู้ตายขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ จําเลยที่ ๑ รู้หรือไม่ว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว หรือยังมีชีวิตอยู่ เห็นว่า จําเลยที่ ๑ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ร่วมทั้งสองหรือผู้ตายมาก่อน จึงไม่น่าเชื่อว่า จําเลยที่ ๑ มีเจตนาฆ่าหรือเจตนาทอดทิ้งผู้ตาย ประกอบกับรายงานการตรวจศพผู้ตายพบรอยใต้หนังศีรษะ บริเวณหน้าผาก ด้านซ้ายและท้ายทอยเป็น ๆ จึงอาจเป็นกรณีที่ผู้ตายหมดสติไป ส่วนจําเลยที่ ๑ ไม่ได้ตรวจดูให้ดี เลยพาผู้ตายไปทิ้งไว้ บนเขาภูเหล็กไฟ การกระทําของจําเลยที่ ๑ เป็นความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่า จําเลยทั้งสองร่วมกันเคลื่อนย้ายศพฯ นั้น เห็นว่า ภายหลังวันเกิดเหตุ จนถึงวันที่พบศพผู้ตาย โจทก์ไม่มีพยานคนใดเบิกความว่า เห็นจําเลยทั้งสองขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ แม้ผลการตรวจเส้นผม ๓ เส้น จากบริเวณที่พบศพผู้ตายมี mtDNA ตรงกับจําเลยที่ ๒ แต่การตรวจหา mtDNA นั้น ไม่สามารถใช้ระบุตัวบุคคลได้ เพียงแต่ระบุได้ว่า เป็นเส้นผมของบุคคลที่อยู่ในสายมารดาเดียวกับผู้ตายเท่านั้น เส้นผมดังกล่าว จึงไม่จําต้องเป็นของจําเลยที่ ๒ เพียงผู้เดียว เห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จําเลยทั้งสองในข้อหานี้

พิพากษาว่า จําเลยที่ ๑ (ลุงพล) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๑๗ วรรคแรก ฐานกระทํา โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จําคุก ๑๐ ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จําคุก ๑๐ ปี ข้อหาอื่นสําหรับจําเลยที่ ๑ ให้ยก 

และยกฟ้องโจทก์สําหรับจําเลยที่ ๒ (ป้าแต๋น) กับให้ จําเลยที่ ๑ ชําระค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง

อนึ่ง คดีนี้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ตรวจสํานวนและทําความเห็นแย้งว่า พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง มีข้อสงสัยตามสมควร ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จําเลยที่ ๑ เห็นควรพิพากษายกฟ้อง จึงให้รวมไว้ในสํานวน ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๑๑ (๑)

ต่อมา นายสุรชัย ชินชัย ทนายความของลุงพล ได้แถลงหลังจากเสร็จสิ้นการขอประกันตัว ลุงพล จากศาล โดยได้ใช้หลักทรัพย์เป็นวงเงิน 500,000 บาทประกันตัวลุงพล ซึ่งระบุว่า จากนี้จะร่างอุทธรณ์ และยื่นอุทธรณ์ต่อไป ซึ่งคดีนี้เป็นอำนาจพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ภาค 4 จ.ขอนแก่น สำหรับในส่วนค่าเสียทางทางแพ่ง ศาลให้จ่ายค่าทดแทน และค่าขาดไร้อุปการะ รวมเป็นเงิน 1,350,000 บาท.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Tags: คดีน้องชมพู่ คำพิพากษา จำคุก ป้าแต๋น มุกดาหาร ลุงพล อีสาน

Continue Reading

Previous: น่าเป็นห่วง ‘เซลีน ดิออน’ อาการทรุด! ควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้แล้ว
Next: เคล็ดลับการก้าวข้ามคำบูลลี่ สไตล์ ‘วันเดอร์เฟรม’

Most Viewed Posts

  1. ‘เบียร์ เดอะวอยซ์’ กำลังใจล้น ลือถูกมือดีปล่อยคลิปหลุด ภาพลับ!!
  2. คนเราขาดอากาศหายใจหรือสมองขาดออกซิเจนได้กี่นาที? คนเราขาดอากาศหายใจหรือสมองขาดออกซิเจนได้กี่นาที?
  3. ‘เจ้าหญิงดิสนีย์’ กับประวัติ 11 เจ้าหญิง แรงบันดาลใจของเด็กผู้หญิง!!
  4. 'เบียร์ เดอะวอยซ์' เคลื่อนไหว ต้นสังกัด 'ท็อป Lazyloxy' เตรียมดำเนินคดีชาวเกรียน!  ‘เบียร์ เดอะวอยซ์’ เคลื่อนไหว ต้นสังกัด ‘ท็อป Lazyloxy’ เตรียมดำเนินคดีชาวเกรียน! 
  5. ก่อนคลิปว่อน!! ‘เบียร์ เดอะวอยซ์’ เคยโพสต์เป็นลางบางอย่าง

You may have missed

เสน่ห์ ‘ละคร’ ยุคเก่า ‘หนึ่งในร้อย’ ปลุกย้ำความทรงจำวันวาน

เสน่ห์ ‘ละคร’ ยุคเก่า ‘หนึ่งในร้อย’ ปลุกย้ำความทรงจำวันวาน

อยากทำอะไร ?? ใน “ฤดูหนาว”

อยากทำอะไร ?? ใน “ฤดูหนาว”

เมืองที่เป็นมิตรอันดับ 4 ของโลก ‘กรุงเทพมหานคร’ รู้สึกอย่างไร เมื่อต้องใช้ชีวิตที่นี่??

เมืองที่เป็นมิตรอันดับ 4 ของโลก ‘กรุงเทพมหานคร’ รู้สึกอย่างไร เมื่อต้องใช้ชีวิตที่นี่??

จะรู้สึกอย่างไร?? เมื่อได้สัมผัสพลังแห่งศรัทธา ‘ประเพณีไหลเรือไฟ’

จะรู้สึกอย่างไร?? เมื่อได้สัมผัสพลังแห่งศรัทธา ‘ประเพณีไหลเรือไฟ’

ติดต่อโฆษณา TOPPIC Time โทร. 064-562-4193 | DarkNews by AF themes.